เบื้องลึกที่นักการตลาดควรรู้ ของ Reaction Buttons ใหม่ของเฟสบุ๊ค
- ภัทร เถื่อนศิริ
- Mar 2, 2016
- 1 min read

เรื่อง Reaction Buttons ใหม่ของเฟสบุ๊ค คงเป็นเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจของสังคมในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา หากมองในมุมผู้ใช้คงรู้สึกดีว่าเราได้มีการแสดงอารมณ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น หากแต่หากมองในมุมคนทำการตลาดแล้ว ก็คงเป็นเรื่องราวที่ดีมากเช่นกันที่จะเค้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น จากการที่ Facebook ก็จะส่งมอบข้อมูลของผู้บริโภคให้นักการตลาดมากขึ้น
ย้อนไปในอดีตก่อนที่ Facebook จะเกิดขึ้น การโฆษณาในโลกออนไลน์นั้นอยู่กับที่ Google แต่เน้นไปที่คำค้นหาไม่ได้เน้นที่ตัวผู้บริโภคนั้นๆ ซึ่งภายหลังที่ Facebook ได้นำเสนอตัวโฆษณาออกมาโดย Advertiser สามารถเลือกความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดมากขึ้น ทำให้การโฆษณานั้นตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ Conversion Rate สูง (จากประสบการณ์ส่วนตัวก็เป็นอย่างนั้นที่โฆษณาจาก Facebook ด้วยงบประมาณเท่ากันสามารถ Turn Sale ได้มากกว่า Google)
และในวันนี้ในความเห็นส่วนตัวของผม Facebook ยิ่งจะนำห่าง Google ไปเรื่อยๆ ด้วยระบบ Targeting ที่มีส่วนผสมของทั้ง Profile / Fanpage Like ของผู้บริโภค ล่าสุดยังปล่อยปุ่ม Reaction Buttons ที่ร่วมพัฒนากับนักจิตวิทยา (ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Inside out จะเข้าใจอย่างดีว่าการแสดงอารมณ์ต่างๆของมนุษย์พอจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างและเกิดจากอารมณ์แบบไหน) ยิ่งจะทำให้เข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เข้าใจลูกค้ารู้สึกอย่างไรกับตัวโฆษณาของเรา อาจใช้เป็นตัววัดคะแนนของโฆษณา สำหรับ Advertiser ที่จะเข้าใจ Feedback ของลูกค้ามากยิ่งขึ้นกว่าแค่คำว่า Reach
แสดงให้เห็นความเหนือชั้นในการขายโฆษณาไปอีก นั่นคือ การที่เรากดปุ่มแสดงอารมณ์ต่างๆบน Feed / Timeline นั้น จะบ่งบอกแสดงความเป็นตัวเรามากขึ้น และทำให้ Facebook ขยาย Big Data ของตัวเองเข้าไปอีก ส่งผลให้ Facebook สามารถนำเสนอข้อมูลให้ Advertiser ได้ดียิ่งขึ้น และยังจัดการกับ Content ที่จะ Feed บน timeline ของเราได้ดีเยี่ยมมากขึ้น ทำให้เราตอยสนองกับ Content ได้ดียิ่งขึ้นแสดงอารมณ์ได้มากขึ้น ส่งผลให้ปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่า “อินมากขึ้น” เพื่อที่จะทำให้เราเล่น Facebook นานขึ้น (นำเสนอโฆษณาที่โดนใจได้มากขึ้น ไม่เป็นการรบกวน) Win – Win สุดๆ
แต่คนที่ยิ้มมากสุดหนีไม่พ้น Facebook (หรือผู้ถือหุ้น เพราะจะมีรายได้โฆษณาที่มากขึ้น) เพราะสามารถนำ ข้อมูลทั้งหมดนี้ไปขายให้กับ Advertiser ได้มากขึ้นเป็นแบบ 2 way communication จากแต่ก่อนคนชอบไม่ชอบก็ได้แค่ Like และ Comment คิดรวมเป็นค่า Engagement แต่ก็ไม่รู้หรอกว่า Comment นั้นรักหรือด่า แต่ปัจจุบันจะสามารถวัดได้ด้วยปุ่ม Reaction Buttons ทำให้ Target ได้ค่อนข้างแม่นขึ้นกว่าเดิมไปอีกหลายเท่า เพราะโฆษณาที่เราจะเห็นต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่มีแต่เราต้องการ เช่น การกด “Love” บนโฆษณา A แน่นอนว่า Love น่าจะได้คะแนนมากกว่า Like แสดงให้เห็นว่า ในอนาคต โฆษณา A ก็จะ Feed ให้เราเห็นมากยิ่งขึ้น / การกด “Wow” บนโฆษณาแสดงถึงความประทับใจของเรากับโฆษณานี้ อาจส่งผลให้โฆษณานี้ Feed ให้แก่กลุ่มฐานลูกค้าใหม่ให้เห็นมากขึ้นขะได้ Wow ๆ เหมือนกัน หรือ การกด “Angry” ถ้ามีจำนวนมากจนเป็นนัยสำคัญไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแกล้งจะทำให้ Advertiser ต้องกลับไปนั่งพิจารณาตัวเองใหม่เลยทีเดียว…LoL
กล่าวโดยสรุป Facebook นั้นเฉลียวที่มองเห็นจุดเล็กๆน้อยๆ สามารถมาพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ และฉลาดที่สามารถหาเงินบนความสุขที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้อีกด้วย ซึ่งยังไม่กล่าวถึงโฆษณาในอนาคตของตัว Facebook messenger และ Notify เลยนะครับเนี่ย เก่งจริงๆพี่มาร์ค..Big Move
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/proudputt
Comentários